ลูกฟิก หรือ มะเดื่อฝรั่ง คือผลไม้ที่กำลังได้รับความนิยมจากทั้งวงการเกษตรกรด้วยกันเอง ดารา นักร้อง หรือเหล่า Influencer เพราะนอกจากรสชาติหวาน กลิ่นหอมแรง ก็ยังมีเนื้อสัมผัสเย้ายวนชวนเคี้ยว มีหลากหลายสายพันธุ์ให้ผู้บริโภคเลือกทาน หากเทียบให้เห็นภาพชัดเจนก็คงเหมือนกับการดื่มกาแฟ ที่แต่ละสายพันธุ์มีรสชาติ กลิ่นหอม Mood & Tone แตกต่างกันออกไป ถ้าหากคุณหลงใหลการทานลูกฟิก ลองซื้อมาปลูกดูสักต้นไหมล่ะ ไม่อยากอย่างที่คิดแน่นอน
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
รู้จักกับ มะเดื่อฝรั่ง (ลูกฟิก) ผลไม้ต่างประเทศ พร้อมวิธีการปลูกและดูแล
มะเดื่อฝรั่ง เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ที่นิยมปลูกกันมาหลายศตวรรษ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในหลายประเทศแถบตะวันออกกลาง ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งยุโรป ไปจนถึงแอฟริกาเหนือ ถ้าลองพิจารณาดูก็จะพบว่าสภาพอากาศส่วนใหญ่เป็นเขตร้อนเฉกเช่นเดียวกันกับประเทศไทย จึงสามารถนำเข้ามาปลูกบ้านเราได้ง่าย หลายภูมิภาค ส่วนใหญ่เจริญเติบโตดี ให้ผลไว ถ้าดูแลอย่างถูกวิธี
ด้านรสชาติของมะเดื่อฝรั่ง ก็มีทั้งเปรี้ยว จืด หวาน และฝาด ปะปนกันไปขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ รวมถึงระดับความสุกของผลนั้น ๆ อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมในโน้ตที่คล้ายคลึง แต่ไม่เหมือนกันเลยเสียทีเดียว ยกตัวอย่างเช่นสายพันธุ์ Black Jack ผลสุกจัดมีรสหวานจัด เนื้อนุ่ม ฉ่ำน้ำ กลิ่นหอมเหมือนน้ำผึ้ง เป็นผลไม้ต่างประเทศที่หลายคนชื่นชอบ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ficus carica L.
ชื่อวงศ์ : Moraceae (วงศ์ขนุน)
ชื่อสามัญ : Fig หรือ Common fig
ชื่อไทยอื่น : มะเดื่อญี่ปุ่น และ ฟิก
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ (ทั่วไป)
ลำต้น : จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางความสูงไม่เกิน 6 เมตร อายุยืนนานอยู่ได้ถึงร้อยปี ลำต้นแตกกิ่งมาก สูงขึ้นไปเรื่อย ผิวเปลือกลำต้นสีน้ำตาลอมเทา มียางไม้สีขาว ตอนเก็บผลหรือตัดกิ่งจำเป็นต้องระวัง เนื่องจากอาจทำให้มือเกิดรอยไหม้เป็นจุด ๆ ได้
ใบ : เป็นพืชใบเดี่ยวที่อาจออกสลับเรียงกันอยู่ที่บริเวณปลายกิ่งเป็นหลัก แผ่นใบหนา ผิวขรุขระสากมือ ปกคลุมด้วยขนสีขาว รูปใบของแต่ละสายพันธุ์แตกต่างกันออกไป มักมีรูปทรงคล้ายใบโพธิ์และใบมะละกอ
ดอก : ลักษณะคล้ายผล รูปร่างคล้ายดอกเดี่ยว แต่ความจริงแล้วเป็นดอกรวม ออกดอกบริเวณก้าน
ผล : ผลฟิก รูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกันกับมะเดื่อไทย ที่เรารู้จักมักคุ้น ทว่าจะมีขนาดใหญ่กว่า ทั้งนี้แต่ละสายพันธุ์ก็มีรูปทรงผลแตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น ผลกลม ผลทรงระฆัง แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือมีเมล็ดด้านในเป็นจำนวนมาก ออกผลบริเวณปลายยอด
มะเดื่อฝรั่งสายพันธุ์ไหนอร่อยที่สุด?
เรื่องความอร่อย ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล เนื่องจากฟิกเป็นผลไม้ที่มีมากกว่า 600 สายพันธุ์รสชาติแตกต่างกันออกไป จึงไม่สามารถแนะนำเป็นกิจจะลักษณะได้อย่างครบถ้วน แต่ก็มีสายพันธุ์ที่นิยมปลูกในเมืองไทย ผลขายดี อย่างเช่น BNR, Iraqi, BTM6 (สายพันธุ์ญี่ปุ่น), Longe d’Août และ Black Jack เป็นต้น
ประโยชน์ของมะเดื่อฝรั่ง
– ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เนื่องจากมีสาร (Polyphenols) ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) อยู่เป็นจำนวนมาก
– ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
– ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร
– เหมาะสำหรับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก
– นำมาแปรรูปเป็นแยม ทำขนม ผลไม้กวนแบบไทย หรือแช่อิ่มก็ได้เช่นกัน
ข้อควรระวัง
– หากรับประทานมากจนเกินไป อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้
– ผู้มีประวัติการแพ้พืชในวงศ์ขุน ควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน
– ยางของต้นฟิก อาจทำให้ผิวไหม้ได้
การขยายพันธุ์
มะเดื่อฝรั่ง ขยายพันธุ์ได้หลากหลายวิธี เฉกเช่นเดียวกันกับไม้ยืนต้นขนาดกลางทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการปักชำกิ่ง ซึ่งสะดวก รวดเร็ว และง่ายดาย แต่มีโอกาสติดรากน้อยกว่า หากต้องการขยายพันธุ์แบบเห็นผลแน่นอนจริง ๆ อาจจะต้องใช้วิธีการ “ตอนกิ่ง” ซึ่งมีความซับซ้อนกว่า เชื่อว่าเป็นเรื่องที่ไม่เกินความสามารถของทุกคน
วิธีปลูก
ถ้าซื้อกิ่งพันธุ์ที่เขาตอนเสร็จสรรพแล้วมาปลูก หรือเพาะชำต่อแนะนำให้ใช้ดินผสมใบก้ามปู และกาบมะพร้าวสับ (ขนาดกลาง) อย่างละ 1 ส่วน มาผสมกันลงในถุงเพาะชำ แล้วปลูกมะเดื่อฝรั่งลงไป จากนั้นใช้กรรไกรตัดกิ่ง ตัดส่วนยอดออกให้เหลือเพียงแค่ต้น ทิ้งไว้จนกระทั่งรากติดดินดี ก็สามารถนำไปปลูกยังพื้นที่ที่เหมาะสมต่อไปได้แล้วล่ะ ช่วง 10 วันแรกอย่าลืมหาร่มเงามาบังแดดให้เขาสักหน่อย
การดูแล
ดิน : ชื่นชอบดินร่วน ระบายน้ำและอากาศดี มีความโปร่ง ในขณะเดียวกันก็ยังมีคุณสมบัติในการรักษาความชื้น
แสง : เน้นแสงแดดตลอดทั้งวัน ควรปลูกในบริเวณพื้นที่โล่งแจ้ง ตามสไตล์ไม้ยืนต้นขนาดกลาง
น้ำ : เป็นพืชที่ชื่นชอบน้ำมาก แต่ไม่ชอบน้ำท่วมขัง ควรรดน้ำให้เขาวันละ 1 ครั้ง
การตัดแต่งกิ่ง : ควรทำอยู่เสมอ เพื่อให้มะเดื่อแตกยอดใหม่ เพื่อให้ออกผลมากยิ่งขึ้น หากปล่อยให้ต้นโตไปแบบตรง ๆ จะให้ผลผลิตน้อยมาก
สรุป
และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับ “มะเดื่อฝรั่ง” ผลไม้นำเข้าจากต่างประเทศ นำมาปลูกในเมืองไทยง่าย เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเรา ทำให้ใคร ๆ ก็สามารถครอบครองเพื่อรอคอยผลผลิตเอาไว้รับประทานได้ บอกเลยถ้าซื้อตามห้างราคาแพงมาก ใครชอบทานควรมีติดบ้านไว้หลาย ๆ สายพันธุ์ และอย่าลืมนำเคล็ดไม่ลับที่เรานำมาฝากไปปรับใช้ในการดูแลต้นไม้ด้วยนะคะ
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ เกี่ยวกับต้นไม้และพืชผักได้ที่ Plantlover.net