บัวดิน เป็นหนึ่งในดอกไม้ที่หลายคนน่าจะรู้จักกันดี เพราะสามารถเห็นได้ตามบ้านใกล้เรือนเคียง รีสอร์ท คาเฟ่ ใครอยากปลูกบอกเลยว่าห้ามพลาด วันนี้เรามีสิ่งน่าสนใจมากมายเกี่ยวกับเจ้าต้นนี้มาฝาก ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ สตอรี่ การขยายพันธุ์ ดูแลอย่างถูกวิธีทำให้ออกดอกงอกเงยสวยงามไม่สร่างทุกช่วงเวลา ถ้าพร้อมแล้วเราไปสร้างความสนิทสนมกับเขากันเลยดีกว่า
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
“บัวดิน” ดอกไม้สวย ๆ กับเรื่องที่คุณต้องรู้ก่อนปลูก!
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zephyranthes spp.
ชื่อวงศ์ : Amaryllidaceae (วงศ์พลับพลึง)
ชื่อสามัญ : Fairy Lily, Rain Lily หรือ Zephyr Flower
ชื่ออื่น : บัวจีน, ดอกสะมาเรีย, ว่านขุนแผนสะกดทัพ เป็นต้น
หลายคนคุ้นเคยว่าบัวดินเป็นดอกไม้สีชมพู แต่ความจริงแล้วเขามีหลากหลายสีสันให้เลือกปลูกมาก หากมองจากรากศัพท์ชื่อวิทยาศาสตร์ของเขาคือ Anthes มีความหมายถึงดอกไม้ เมื่อนำมารวมกับ Zephyros ที่สื่อถึงลมตะวันตก ก็จะทราบถึงถิ่นกำเนิดของเจ้าดอกไม้นี้ ว่ามาจากฝั่งซีกโลกตะวันตกไม่ว่าจะเป็น เม็กซิโก กัวเตมาลา โคลัมเบีย และทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา ก่อนแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลกอย่างที่เราได้เห็นกัน
ความหมาย
แท้จริงแล้วสายพันธุ์ของบัวดินนั้นมีหลากหลายมากกว่า 50 ชนิดและแต่ละชนิดก็มีความหมายเป็นของตัวเอง อย่างเช่น ดอกสะมาเรีย เป็นตัวแทนสื่อความหมายถึงความหวัง มิตรภาพ การให้กำลังใจเพื่อนมนุษย์ อย่างถ้าเป็นว่านขุนแผนสะกดทัพ คนไทยจะมีความเชื่อว่าเป็นดอกไม้มงคลเกี่ยวกับเมตตามหานิยม ป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นรอบตัว
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น : ลำต้นแท้ของเจ้าบัวดินนั้นจะมีลักษณะเป็นหัวอยู่ใต้ดิน ค่อนข้างกลม คล้ายหอมหัวใหญ่ ส่วนด้านบนมีปล้องชั้นข้อสั้นซ้อนกันเป็นชั้นหุ้มกาบใบ เนื้อด้านในหัวค่อนข้างเยอะ อวบน้ำ หุ้มด้วยเยื่อบาง ๆ ด้านนอก เมื่อเยื่อแห้งแล้วจะเป็นแผ่นสีน้ำตาล สามารถลอกออกได้
ใบ : ในส่วนของก้านใบเป็นส่วนที่คนเข้าใจว่าเป็นลำต้นมากที่สุด ลักษณะเป็นใบที่แทงออกมาจากหัวคล้ายกับใบหอม กุยช่าย ขอบขนาน ปลายมน ชูตั้งขึ้น อาจโค้งงอลงตามแรงโน้มถ่วงบ้าง ผิวสีเขียวเป็นมัน ในหนึ่งต้นประกอบไปด้วย 4 – 8 ใบ ความยาว 20-45 เซนติเมตร
ดอก : ดอกของเขาถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญที่หลายคนรอคอยเลยล่ะ เขาจะออกดอกมาให้เราชื่นชมกันช่วงฤดูฝนไปจนถึงต้นฤดูร้อน หรือในช่วงเดือนกรกฎาคม-เมษายนของทุกปี ดอกจะบานช่วงเช้าและหุบช่วงเย็น รู้แล้วหายสงสัยกันเลยใช่ไหมล่ะว่าบัวดินออกดอกช่วงไหน แถมยังมีทั้งดอกชั้นเดียวและดอกแบบซ้อน ส่วนใหญ่ก้านช่อดอกเรียวยาว โคนกลีบดอกติดกันเป็นวงแล้วแยกออกเป็น 6 กลีบ พร้อมเกสรเพศผู้ 6 อันและเกสรเพศเมีย 1 ก้าน
ประโยชน์
โดยปกติแล้วบัวดินจะถูกปลูกเอาไว้เป็นไม้ประดับ แต่งสวนตามบ้านนี่ล่ะ แต่คนในสมัยก่อนมีการนำไปใช้เป็นสมุนไพร มีสรรพคุณทางยา แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย แก้ธาตุพิการ กินหัวบำรุงธาตุ เป็นต้น
การขยายพันธุ์
สำหรับการขยายพันธุ์บัวดิน ส่วนใหญ่มักใช้วิธีการแยกกอเป็นหลัก เนื่องจากค่อนข้างง่าย ติดรากไว และยังช่วยให้ต้นแม่แผ่ขยายออกไปอย่างสวยงามได้อีกหลายทอด และการขยายพันธุ์ดังกล่าวมีขั้นตอนง่าย ๆ ดังต่อไปนี้
1.เตรียมผสมดินในการปลูกโดยจะใช้ดินร่วนตามบ้านของเราแบบธรรมดา 1 ส่วนผสมเข้ากับมูลไส้เดือน 1/2 ส่วน แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากันดี
2.จากนั้นนำมาใส่กระถางที่มีรูระบายน้ำในปริมาณ 1/3 ของกระถางก่อน
3.เติมปุ๋ยละลายช้าลงไปเล็กน้อยเพื่อช่วยบำรุง
4.จากนั้นทำการแยกกอของเขาออกจากต้นแม่ พยายามใช้มือของเราในการแยกออกมาสัก 3 – 4 ต้นโดยไม่อาศัยมีด เนื่องจากจะทำให้หัวอื่นเสียหาย
5.จากนั้นก็นำกอที่แยกมาวางลงในกระถางแล้วกลบด้วยดิน รดน้ำจนดินชุ่มชื้นและวางเอาไว้ในพื้นที่ที่โดนแดดอ่อนตอนเช้าเท่านั้น
6.ผ่านไปประมาณ 7 – 10 วันจึงค่อยนำกระถางออกไปรับแดดตลอดทั้งวัน เป็นไม้ประดับสวนหน้าบ้านสวย ๆ ดังใจต้องการ
การปลูก / ดูแล
คนที่เคยปลูกว่านชนิดนี้จะทราบดีว่าหากไม่รดน้ำในช่วงฤดูแล้งใบเขาก็จะล้มหาย แห้งตายไปและผลิดอกออกผลใหม่ช่วงฤดูฝน แต่จะดีกว่าไหมถ้าเรารู้วิธีรักษาต้นไม้ไว้ตลอดทั้งปี วิธีการไม่ยุ่งยากแต่อย่างใด เนื่องจากบัวดินเป็นไม้ที่ชื่นชอบความชุ่มชื้นเราจึงจำเป็นต้องรดน้ำทุกวันอย่างสม่ำเสมอ หรือถ้าหากมีเวลาหน่อยก็สามารถรดน้ำวันละ 2 ครั้งเช้า – เย็นได้เลย แต่ระวังอย่าให้น้ำท่วมขังแฉะเกินไป และอย่าลืมให้เขารับแสงแดดอย่างเพียงพอตลอดทั้งวัน ไม่ควรปลูกเอาไว้ในร่ม อาจจะต้องให้ปุ๋ยอินทรีย์มูลสัตว์เดือนละครั้ง รับรองต้นสวย ออกดอกให้เห็นบ่อย ๆ อย่างแน่นอน
และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวของ “บัวดิน” ทั้งด้านความหมาย ความสวยงาม การปลูก รวมไปถึงการดูแลให้ต้นและดอกของเขาอยู่กับเราไปตลอดทั้งปี เห็นแล้วใช่ไหมคะว่าไม่ยุ่งยากเลย เพียงแค่ต้องการความใส่ใจเล็กน้อย ค่อนข้างเหมาะสำหรับคนมีเวลาดูแลน้อง ใครรู้สึกผูกพัน ชื่นชอบดอกของเขาเป็นพิเศษก็อย่าลืมไปหามาไว้ในครอบครองกันนะคะ
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ เกี่ยวกับต้นไม้และพืชผักได้ที่ Plantlover.net