มะม่วงหิมพานต์ เรียกได้ว่าเป็นที่รู้จักในวงกว้างทั่วโลก โดยเฉพาะเมล็ดที่มีรสชาติมันและนัว นำมาทานเล่นหรือรังสรรค์เป็นเมนูอาหารได้หลากหลาย ต้นพุ่มทรงสวย ปลูกเป็นไม้ประดับได้ สร้างกำไรงาม หากคุณคือคนหนึ่งที่กำลังสนใจอยากครอบครองเจ้าต้นไม้นี้เอาไว้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เรามีเคล็ดลับง่าย ๆ ในการปลูกและดูแลมาฝากพร้อมข้อมูลอันน่าสนใจ ไปติดตามกันได้เลย
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
รู้จักกับมะม่วงหิมพานต์ ต้นไม้สร้างรายได้ ใครอยากปลูกต้องรู้!!
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Anacardium occidentale L.
วงศ์ : Anacardiaceae (วงศ์มะม่วง)
ชื่อภาษาอังกฤษ : Cashew Nut
มะม่วงหิมพานต์ เป็นไม้ยืนต้น มีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปแอฟริกาใต้ เชื่อกันว่าน่าจะมาจากประเทศบราซิล และได้มีการนำเข้ามายังประเทศไทยทางภาคใต้ช่วงเวลาประมาณปี พ.ศ. 2444 จากนั้นก็แพร่กระจายไปทั่วทุกภูมิภาคเลยล่ะ เพราะเป็นต้นไม้ ปลูกง่าย ดูแลไม่ยาก แถมสร้างกำไรงามให้แก่ผู้ครอบครอง มาพร้อมความเชื่ออันน่าสนใจ
ความเชื่อ
ชาวจีนเชื่อกันว่าต้นไม้ต้นนี้เป็นไม้มงคล สื่อถึงความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และทองคำ เราจึงมักเห็นพวกเขานำเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ไปอยู่ในอาหารจานต่าง ๆ ในวันไหว้บรรพบุรุษ และนอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าหากบ้านใดปลูกต้นไม้นี้เอาไว้ในบริเวณบ้าน ก็จะเปรียบเสมือนมีทองคำอยู่ในที่ดินเลยล่ะ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น : อย่างที่ได้ทราบกันไปแล้วว่าเขาเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง เมื่อโตเต็มที่อาจมีความสูงได้ตั้งแต่ 6-12 เมตรเลยทีเดียว เนื้อไม้ด้านในแข็ง เปลือกผิวหนาและเรียบมีสีน้ำตาลอมเทา แตกกิ่งก้านสาขาออกจนกระทั่งเรือนยอดเป็นทรงพุ่มหนาแน่น
ใบ : มะม่วงหิมพานต์เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ออกแบบเรียงวนรอบกิ่ง ลักษณะใบรูปไข่กลับหัวปลายใบกลม โคนใบแหลม มีสีเขียว แผ่นใบหนา
ดอก : เจ้าต้นไม้นี้ออกดอกเป็นช่อแบบกระจาย ดอกย่อยมีสีขาวเหลืองนวล จากนั้นจะไล่ระดับอมชมพูขึ้นไปเรื่อย ๆ ลักษณะดอกย่อยมี 5 กลีบ ปลายกลีบดอกแหลม เรียวตรง และจะติดผลหลังจากออกดอก
ผล : ผลมะม่วงหิมพานต์ ถือเป็นไฮไลท์เด็ดที่หลายคนรอคอย มองผิวเผินรูปร่างหน้าตาคล้ายผลชมพู่ ออกเป็นพวงห้อยลงมาแต่จะลูกใหญ่กว่าชมพู่หน่อย ผลอ่อนสีเขียว ส่วนผลแก่สีแดง เนื้อด้านในฉ่ำ มีเมล็ดห้อยออกมาที่บริเวณก้น
เมล็ด : ในส่วนของเมล็ดที่ได้อยู่บริเวณก้นของผล จะเป็นสีน้ำตาลอมเทาไปจนถึงดำ เปลือกหนาและแข็ง ลักษณะคล้ายกับรูปไต เมื่อต้องการนำไปรับประทานให้เผา หรือคั่วแล้วกะเทาะเปลือกออกเพื่อเลือกเอาเมล็ดด้านใน
ประโยชน์
ความจริงแล้วประโยชน์ของต้นไม้ต้นนี้มีหลากหลายมาก ตั้งแต่นำมาปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับ ทำบอนไซ เมล็ดนำมารับประทานเป็นของว่าง ประกอบอาหาร ให้คุณค่าทางโภชนาการมากมาย เป็นที่นิยมในหมู่คนลดน้ำหนัก เนื่องจากมีเส้นใยอาหารสูงจึงช่วยดูดซึมไขมันได้ดี
การขยายพันธุ์ / ปลูก
สำหรับการขยายพันธุ์ต้นมะม่วงหิมพานต์หลัก ๆ นิยมทำกันอยู่ 2 วิธี ได้แก่ การเพาะเมล็ด และการเสียบยอด ซึ่งทั้งสองวิธีนี้มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป การเพาะเมล็ดนั้นมีข้อดีคือจะให้ต้นที่มีรากแก้วแข็งแรงแต่โตช้า กว่าจะให้ผลผลิตก็ค่อนข้างนาน เกษตรกรจึงนิยมใช้วิธีการเสียบยอดมากกว่า การเสียบยอดมีข้อดีหลายอย่างเช่น ต้นไม่กลายพันธุ์ ให้ผลผลิตไว
ในส่วนของการเสียบยอด อาจจะทำยากสักหน่อยสำหรับมือใหม่ แต่ไม่เกินความสามารถของเพื่อน ๆ แน่นอน วิธีการอาจทำได้ดังต่อไปนี้
1.ใช้ยอดที่แก่หน่อย เริ่มจะติดตา ตัดออกมาจากต้นแม่ที่สมบูรณ์แข็งแรง
2.ตัดใบของยอดทิ้งให้หมด จากนั้นใช้มีดคัตเตอร์ฝานออกเป็นทรงปากฉลาม
3.หันไปกรีดต้นกล้าที่เราจะทาบยอด รูปเส้นตรงขนาน กรีดตัดด้านบนเพื่อให้ผิวเปลือกต้นไม้แยกออกจากเนื้อไม้
4.นำยอดปากฉลามของเราทาบลงไป
5.นำเปลือกไม้ปิดทับไว้
6.ใช้เทปกาวใสพันต้นเก่าและยอดให้แน่น ตั้งแต่โคนจรดปลาย
7.ทิ้งไว้ประมาณ 20 วันใบของเขาก็จะแตกขึ้นมา ให้นำผ้าเทปออกจากส่วนยอด แต่ก็ยังพันส่วนโคนไว้อยู่ จนกว่าจะแน่ใจว่าติดต้นแน่นมากที่สุดแล้ว
แนะนำวิดีโอวิธีการเสียบยอดต้นไม้ : https://www.youtube.com/watch?v=IpbAQUyZjCk
การดูแล
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่ามะม่วงหิมพานต์ เป็นพืชที่ดูแลง่าย ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ต้องปลูกเขาเอาไว้ในพื้นที่ที่มีแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวัน ในฤดูฝนปล่อยไปตามสบายได้เลย แต่หากช่วงหน้าแล้งหน่อยก็อาจจะต้องรดน้ำสักสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ให้ชุ่มชื้นก็เป็นอันเพียงพอ หากจะให้ดีแนะนำใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยมูลสัตว์สักปีละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะช่วงต้นฤดูฝน กับช่วงต้นฤดูหนาว
ราคาเมล็ด
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาราคาของเมล็ดมะม่วงหิมพานต์สดอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 20-35 บาท ขึ้นอยู่กับฤดูกาล ปลูกเอาไว้ขายอย่างไรก็ราคาดี จัดว่าเป็นต้นไม้ราคาแพงที่น่ามีเอาไว้ในครอบครองเป็นอย่างมาก
และนี่ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับ มะม่วงหิมพานต์ ไม้พันธุ์ดี มากประโยชน์ ที่ใคร ๆ ต่างก็ให้ความสนใจ แถมในอนาคตยังมีแนวโน้มว่าการตลาดจะสูงขึ้นไปอีก ไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน แต่จะคืนทุนก็ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่ง หากเพื่อน ๆ สนใจเราหวังอย่างยิ่งว่าข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนนะคะ
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ เกี่ยวกับต้นไม้และพืชผักได้ที่ Plantlover.net