เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินเรื่องราวของ “ผักเคล” หรือผักใบหยิกหน้าตาแปลกกันมาบ้าง เขาบอกว่าเจ้าต้นนี้ประโยชน์มากมายจนได้รับฉายาว่าราชินีแห่งผักใบเขียว แถมยังปลูกง่ายมากในประเทศไทย ดูแลไม่ยาก นำมาทำอาหารได้หลากหลายชนิด ใครกำลังสนใจเจ้าผักใบหยิก หน้าตาแปลกอยู่ วันนี้เรามีวิธีการปลูกและเลี้ยงดูมาฝาก ไปติดตามกันได้เลย
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
รู้จักกับผักเคล ผักใบเขียวประโยชน์เยอะ ปลูกง่ายนิดเดียว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Brassica oleracea L. Acephala group
ชื่อวงศ์ : Brassicaceae (วงศ์ผักกาด)
ชื่อภาษาอังกฤษ : Kale
ชื่ออื่น ๆ : คะน้าเคล
ผักเคล ที่เราเห็นกันอยู่นั้นเป็นพืชในกลุ่มเดียวกันกับคะน้า มีอายุหลายปี จึงมีรสชาติที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ชนิดที่ว่าหลับตาเคี้ยวก็แทบแยกไม่ออก เจ้าผักนี้มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศในแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกและเอเชียไมเนอร์ ถูกปลูกเอาไว้เพื่อเป็นอาหารในช่วงปี พ.ศ. 2000 รสชาติของผักคะน้าใบหยิกชนิดนี้จะออกแนวหวาน เผ็ดเล็กน้อย มีรสขมหน่อยในพันธุ์สีม่วง กลิ่นฉุนเบา นิยมนำมาผัดกระเทียม น้ำปลา หรือใส่น้ำมันหอยลงไป หรือถ้าแนวฝรั่งหน่อยก็ทานเป็นสลัดมิกซ์ได้เช่นกัน
ลักษณะทางพฤกษาศาสตร์
ลำต้น : ลำต้นของเขาตั้งตรงเป็นทรงกระบอก อาจมีสีเขียวปนขาว หรือม่วงตามแต่สายพันธุ์ จะเป็นข้อปล้องตามตำแหน่งใบ ความสูงอยู่ที่ 20-60 เซนติเมตรโดยประมาณขึ้นอยู่กับอายุของผักด้วย
ใบ : ความจริงแล้วใบของผักเคลนั้นมีหลากหลายรูปแบบมาก ไม่ใช่เพียงแค่รูปร่างหยิกฟูเท่านั้น ทว่าในประเทศไทยจะปลูกแบบใบหยิกง่ายกว่า ก้านใบจะออกเรียงสลับรอบต้นทำมุมราว ๆ 45 องศา อย่างที่บอกว่ามีทั้งพันธุ์ใบเหลี่ยม ใบรูปหอก แต่สิ่งที่เหมือนกันทุกชนิดก็คือมีคลื่นเป็นลอนหยักมากน้อยแตกต่างกันออกไป ผิวใบเป็นมัน
ดอก : เคลใบหยิกจะออกดอกเป็นช่อที่บริเวณปลายลำต้น ดอกย่อยเล็กสีเหลืองอ่อน มีทั้งหมด 4 กลีบ คล้ายคลึงกับผักกาดดอก
คุณค่าทางโภชนาการในเคล
เพื่อน ๆ ทราบหรือไม่ว่าเคล ถูกยกให้เป็นสุดยอดของผักต้านแก่ที่มีประโยชน์ อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการมากมาย สารต้านอนุมูลอิสระจัดเต็ม ลดไขมัน น้ำตาลในเลือด บำรุงสายตาชั้นยอด ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง และทีเด็ดก็คือช่วยในเรื่องการลดน้ำหนัก เราจึงมักจะเห็นคนชอบนำคะน้าชนิดนี้ไปทำน้ำผักเพื่อสุขภาพ ซึ่งในผักเคลก็จะประกอบไปด้วย คาร์โบไฮเดรต, เส้นใย, ไขมัน, โปรตีน, วิตามินเอ, วิตามิน B1 / B2 / B3/ B6, วิตามิน C, วิตามิน K, แคลเซียม, เหล็ก และโพแทสเซียม เป็นสำคัญ
สายพันธุ์ที่น่าสนใจ
Vate Blue Curled Kale จะเป็นเคล สายพันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทยมากที่สุด ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ส่งตรงมาจากประเทศญี่ปุ่น ลักษณะใบหยิกเป็นฝอย ปลุกง่าย โตไว ไม่ขมหรือหวานจนเกินไป ให้ผลผลิตตลอดทั้งปี ที่สำคัญชื่นชอบแสงแดดจัด
การขยายพันธุ์ / ปลูกเคล
สำหรับการขยายพันธุ์ผักชนิดนี้สามารถทำได้โดยวิธีการเพาะเมล็ด ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะปลูกลงบนดินเสียมากกว่าแบบปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ เนื่องจากเคลนั้นมีอายุหลายปี ใครอยากลองปลูก ต่อไปนี้คือวิธีการที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
อุปกรณ์ที่ต้องใช้
– เมล็ดผักเคล
– ถาดเพาะเมล็ด
– พีทมอส
– ดินร่วน 3 ส่วน
– ปุ๋ยคอก 1 ส่วน
– กระถาง หรือวัสดุสำหรับใส่ดิน หรือทำแปลงดินแบบนูน แล้วแต่กรณี
ขั้นตอนการเพาะเมล็ดเคล
1.นำดินร่วน 3 ส่วน และปุ๋ยคอก 1 ส่วน มาผสมเข้าด้วยกันแล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 15-30 วัน
2.นำพีทมอสแช่น้ำให้ชุ่มชื้น 1 คืน แล้วจึงนำมาใส่ถาดเพาะเมล็ด
3.หย่อนเมล็ดผักเคลจำนวน 2 เมล็ด ลงไปในพีทมอส จากนั้นรดน้ำพอชุ่มชื้น
4.นำถาดไปวางเอาไว้ในที่ร่มนาน 2-3 วัน ดูแลรดน้ำเช้า-เย็น
5.เมื่อใบเลี้ยงเริ่มงอกขึ้นมาแล้วในช่วง 3-7 วัน ก็สามารถนำไปตากแดดเพื่อรับแสงแบบเต็มวันได้
6.เมื่อใบจริงของเขางอกออกมา ก็ให้ตัดอีกต้นทิ้งได้เลย เมื่ออายุ 15-18 วัน ก็พร้อมย้ายลงแปลง
วิธีการปลูกผักเคล
1.นำดินร่วนที่หมักเอาไว้เป็นเวลา 15-30 วันมาใส่ลงในกระถางหรือแปลงปลูก
2.นำต้นกล้ามาปลูกลงดินได้เลยง่าย ๆ หากปลูกในแปลง แนะนำระยะห่าง 50×50 เซนติเมตรจะทำให้พุ่มผักไม่เบียดกันจนเกินไป
การดูแล
ผักเคลชื่นชอบอากาศหนาวเย็นก็จริง แต่กลับปลูกในประเทศไทยได้อย่างสบาย ๆ ยกเว้นช่วงหน้าร้อนประมาณเดือนเมษายน-พฤษภาคมก็อาจจะยากหน่อย ทั้งนี้การดูแลก็ควรวางเขาไว้ในสถานที่ที่มีแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวัน แนะนำคลุมดินด้วยฟางเพื่อลดอุณหภูมิพร้อมรดน้ำให้ทั่วถึง ชุ่มชื้น แต่ไม่แฉะ จากนั้นบำรุงเขาด้วยปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักต่าง ๆ ก็จะช่วยให้เจริญเติบโตแบบกรอบ หวานมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เราสามารถเก็บเกี่ยวผักเคลกินได้ตลอดทั้งปี โดยเด็ดก้านใบด้านล่างมารับประทานก่อน ต้นจะสูงขึ้นไปเรื่อยและมีอายุอยู่ 1-2 ปีเลยทีเดียว
และนี่ก็คือเรื่องราว เกร็ดความรู้อันน่าสนใจเกี่ยวกับ “ผักเคล” ที่เราอยากแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้ทำความรู้จัก นอกจากมีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย เหมาะสำหรับทำอาหารแล้วก็ยังสวยงาม แปลกตา เหมาะสำหรับเป็นไม้ประดับอีกต่างหาก รู้แบบนี้แล้ว ใครอยากปลูกก็อย่าลืมนำวิธีการข้างต้นไปปรับใช้กันนะคะ
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ เกี่ยวกับต้นไม้และพืชผักได้ที่ Plantlover.net